รมว.มท.ตอบปมจัดเก็บ “ภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง” ชี้เป็นธรรม “ราคาประเมินที่ดินใหม่” มุ่งเน้นผู้ถือครองจำนวนมาก

496

เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 66 เวลา 09.30 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถามของนางบุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์ สมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง การจัดเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 โดยกล่าวว่าการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมกับทุกคน มิใช่จัดเก็บเฉพาะผู้มีรายได้น้อย

กรณีประชาชนเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้สำหรับการจัดเก็บภาษีในปี 2566 จะใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์รอบบัญชี ปี 2566-2569 ซึ่งจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากผู้ถือครองที่ดินจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้สูงเพิ่มมากขึ้น และราคาประเมินใหม่นี้ก็เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนผู้ที่ถือครองที่ดินจำนวนน้อย เพราะเมื่อราคาประเมินสูงขึ้นก็สามารถใช้เป็นต้นทุนในการลงทุนพัฒนาทำธุรกิจได้ต่อไป

พลเอก อนุพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการบังคับใช้กฎหมายที่ทำให้ประชาชนผู้ไม่มีที่ดินทำกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย ได้มีที่ดินทำกิน ได้ทำการเกษตร โดยมีการออกเอกสารพื้นที่ป่าซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อให้ราษฎรได้มีที่ทำมาหากิน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อยและไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองสามารถประกอบอาชีพและทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ดังนั้น เจตนารมณ์หลักของพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ฉบับนี้ คือ การให้ประชาชนผู้มีรายได้สูงเสียภาษีมากขึ้นและต้องทำประโยชน์ในพื้นที่โดยไม่ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า

“การลดภาระของประชาชนในภาพรวมเรื่องเศรษฐกิจ คือการลดอัตราการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินรายได้จัดเก็บเองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องใช้งบกลางเข้าไปชดเชย แต่เนื่องจากงบกลางก็ถูกใช้จ่ายไปถึง 6,200 กว่าล้านบาท ในการบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดจากน้ำท่วมเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเกี่ยวกับการช่วยเหลือด้านงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ขาดรายได้ ซึ่งจะได้ติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป”