“วิรไท” เตือน นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่รับผิดชอบ ส่งผลเสียต่อประเทศ

512

6 ต.ค. 66 ดร. วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผย ผ่านเฟซบุ๊ค Veerathai Santiprabhob ว่า การบริหารบ้านเมืองด้วยความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้มีอำนาจรัฐ อาจารย์ป๋วยเคยกล่าวไว้ทำนองว่าถ้าแพทย์รักษาผู้ป่วยผิดพลาด อาจจะสร้างผลกระทบให้กับชีวิตของผู้ป่วยหนึ่งคนและครอบครัว ถ้าวิศวกรสร้างตึก หรือสะพานผิดพลาด อาจจะหมายถึงชีวิตคนหลายสิบหรือหลายร้อยคนที่ใช้งานแต่ถ้านักเศรษฐศาสตร์ทำนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาดแล้ว อาจจะกระทบต่อชีวิตของคนหลายสิบล้านคนทั้งประเทศ

วันนี้ ด้วยพลังของตลาดที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี แค่ผู้มีอำนาจรัฐเริ่มคิดจะทำนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่รับผิดชอบ ก็ส่งผลเสียต่อชีวิตคนได้ทั้งประเทศแล้ว ผ่านกลไกของตลาดเงินและตลาดทุน

เรามีตัวอย่างนโยบายภาครัฐจากอดีตหลายอันที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้นๆ แต่สร้างความบิดเบือนให้กับกลไกตลาด และโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ สร้างภาระทางการคลังแบบได้ไม่คุ้มเสีย และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพยาวนานไปอีกหลายปี ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด หรือโครงการรถคันแรก

ถ้าเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยการทำนโยบายที่หวังผลต่อ GDP แค่ช่วงสั้นๆ ผลที่จะเกิดขึ้นกับฐานเสียงในการเลือกตั้งสี่ปีข้างหน้าอาจจะกลับทิศได้อีกด้วย ถึงเวลาใกล้เลือกตั้งรอบหน้าเศรษฐกิจที่โดนกระตุ้นด้วยยาโด๊บเงินดิจิตัลก็คงหมดพลังลงพอดี นอกจากนี้โครงการภาครัฐดีๆ อีกนับสิบนับร้อยโครงการที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนในวันนี้และวันหน้าอาจโดนถูกตัดงบประมาณลง

ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดว่าประชาชนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป มากกว่านโยบายประชานิยม เชื่อว่าในอีกสี่ปีข้างหน้า กระแสเรียกร้องเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปจะยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ในขณะที่ทรัพยากรด้านการคลังจะยิ่งจำกัดมากขึ้น

นอกจากนี้ ถ้าผู้มีอำนาจรัฐเริ่มต้นบริหารประเทศด้วยนโยบายที่ไม่รับผิดชอบแล้ว ความน่าเชื่อถือจะไหลลงเร็ว ทั้งจากในและต่างประเทศ จะทำอะไรต่อไปก็จะยากไปหมด มีแต่ความไม่เชื่อมั่น ความแคลงใจกัน นโยบายที่จะสนับสนุนการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคตของประเทศจะยิ่งเกิดได้ยากมาก

โจทย์ในวันนี้น่าจะเป็นว่าจะช่วยกันหาทางลงให้กับนโยบายที่หาเสียงไว้แล้วแต่ไม่ควรทำได้อย่างไร มากกว่าที่จะเดินหน้าต่อทั้งที่รู้ว่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย

ขอบคุณ Nat Luengnaruemitchai ที่นำข้อมูลมาแสดงครับ

ทั้งนี้ ดร. วิรไท ได้แชร์ข้อความจากเฟซบุ๊ค Nat Luengnaruemitchai ที่ระบุว่า เพียงเดือนเศษๆ กับนโยบายเงินดิจิทัล ความมุ่งมั่นดื้อดึงที่จะทำโครงการนี้ ทั้งๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ค่อนประเทศไม่เห็นด้วย นอกจากทำให้นักลงทุนกังวลถึงภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นที่ไม่คุ้มกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะได้รับ ยังทำให้เห็นได้อีกว่าการตัดสินใจโดยไม่ฟังเสียงรอบข้าง โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ยังมีการส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการโยกย้ายหากข้าราชการที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวในการบริหารรัฐนาวาในยามนี้อีกด้วย บริษัทที่ให้ Credit Rating อย่าง S&P, Moody’s และ Fitch จึงออกมาพร้อมหน้าพร้อมตาเตือน และพร้อมที่จะลด Credit Rating หากใช้นโยบายทางการคลังที่ไม่เหมาะสม

ดังนั้นนักลงทุนจึงเทขายพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างหนักจน Yield ขึ้นมากว่า 70 Basis Point (รวมผลกระทบจากการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น) แล้ว เพียงระยะเวลาเพียงเดือนเศษ จนมาอยู่ในระดับเดียวกันกับเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ส่วนค่าเงินบาทกำลังลงไป Test Low เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ในขณะที่ราคาหุ้นไทยตกไปแล้วกว่า 13%

นี่กำลังจะทำให้หนี้สินรัฐบาล 7.6 ล้านล้านบาท ที่มีค่าดอกเบี้ยจ่ายกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท กำลังจะมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นหากต้อง Rollover”

ที่มา: https://www.facebook.com/veerathai.santiprabhob

 

อ่านข่าวอื่นๆ