มุ่งพัฒนาตลาดทุน ให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน
“ตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงาน ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจ รวบรวมและจัดสรรการใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้กิจการต่างๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการออมการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง”
ภายใต้สถานการณ์และความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขณะที่โลกยุคดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศยึดมั่นวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” มุ่งพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน พร้อมปรับตัวและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีอายุครบ 5 ทศวรรษ หรือ 50 ปี ในวันที่ 17 เมษายน 2567 ในโอกาสนี้ การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์พิเศษ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ถึงพัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์ฯ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านตลาดทุนของประเทศไทย บทบาทของ ตลาดทุน ในฐานะที่เป็นฟันเฟืองสำคัญที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ และภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์หรือตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไป
โครงสร้าง ตลท. ที่มาจาก Stakeholder ต่างๆ
ดร.ภากรอธิบายว่า โครงสร้างคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบด้วยผู้แทนที่มาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคส่วนต่างๆ ของตลาดทุน ซึ่งส่วนหนึ่งแต่งตั้งโดย ก.ล.ต. และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยที่ประชุมสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ
คณะกรรมการ เป็นผู้กำหนดแนวทางในการกำกับดูแลกิจการของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ
คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการชุดย่อยต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา มีส่วนขับเคลื่อนความหลากหลายของนโยบายต่างๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการ รวมทั้งมีมาตรการป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซึ่งเป็นไปตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี
ฟันเฟืองสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ดร.ภากร กล่าวถึงแนวคิดแรกเริ่มในการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นให้มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
“ตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินงาน ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจ รวบรวมและจัดสรรการใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้กิจการต่างๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการออมการลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่ง”
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังมีบทบาทในด้านการเป็นแหล่งระดมทุนของกิจการเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในช่วงปี 2013-2022 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO) ใน ตลาดหลักทรัพย์ไทย 305 บริษัท
ในด้านผลประกอบการช่วง 3 ปีหลังเข้า IPO พบว่า 40-50% ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ IPO มีผลกำไรเฉลี่ยเติบโตมากกว่า 20% ต่อปี และ 65% มีผลกำไรเฉลี่ยเติบโตทุกปี ซึ่ง บจ.ในกลุ่มการเงิน (ไฟแนนซ์) และกลุ่มอุตสาหกรรม (Resources) โดดเด่นที่สุด
สำหรับการเติบโตของรายได้ พบว่า บจ. มีรายได้ช่วง 3 ปีหลัง IPO เติบโตดี โดยประมาณ 30% ของ บจ. ที่ IPO มีรายได้เฉลี่ยเติบโตมากกว่า 20% ต่อปี และเกือบ 80% มีรายได้เฉลี่ยเติบโตทุกปี โดยพบว่ากลุ่มไฟแนนซ์ โดดเด่นที่สุด
ด้านการเติบโตของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของ บจ. ที่ IPO ในตลาด SET และประมาณ 70% ในตลาด mai เติบโตได้ดีหลังเข้าจดทะเบียน
นอกจากนี้ ยังขยายโอกาสทางธุรกิจไปยัง Startup และ SMEs ผ่าน LiVE platform ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ลงทุนมากขึ้น
ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลาดทุนประกอบด้วยผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งมีส่วนในการสร้างงาน สร้างนวัตกรรม สร้างกำลังซื้อผ่านการจ้างงาน และสร้างผลกำไร ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้ให้ภาครัฐผ่านการมีส่วนร่วมในการจ่ายภาษี เพื่อเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย
ในปี 2565 บจ.จำนวน 813 บริษัท จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยมูลค่ารวมกว่า 375,000 ล้านบาท คิดเป็น 50.2% ของภาษีนิติบุคคลที่กรมสรรพากรจัดเก็บทั้งหมดในปี 2565 นอกจากนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ บจ. นำส่งกรมสรรพากรในช่วง 3 ปีหลังเข้าจดทะเบียน เพิ่มขึ้น 2.4 เท่า เมื่อเทียบกับช่วง 3 ปี ก่อนเข้าจดทะเบียน
เมื่อ บจ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการทำบัญชี ทำให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีได้เต็มประสิทธิภาพ สู่การพัฒนาสังคมและประเทศ และเมื่อธุรกิจเติบโต บจ. มีการจ้างงาน พนักงานมีเงินได้ ก็จะจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเข้ารัฐ โดยปี 2564 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กรมสรรพากรจัดเก็บจากการจ้างงานพนักงาน บจ. มีมูลค่าสูงถึง 80,325 ล้านบาท คิดเป็น 24 % ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดที่สรรพากรจัดเก็บในปี 2564
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีบทบาทในการส่งเสริมให้คนไทยมีการวางแผนการเงินการลงทุนระยะยาว และยังคงยึดมั่นการเป็นแหล่งให้ความรู้ด้านตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการออมการลงทุนอย่างยั่งยืนให้ประชากรไทย
พัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ โครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน
ดร.ภากรกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการ และโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดทุนและตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นต้นมา
ด้านผู้ลงทุน มีแนวโน้มเติบโตและมูลค่าการซื้อขายทกระจายตัวในหลายกลุ่มผู้ลงทุน จำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และมูลค่าการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตของผู้ลงทุนบุคคลสูงต่อเนื่อง สะท้อนการพัฒนากระบวนการ Digitalization ในตลาดทุน
ด้านสินค้าหรือผลิตภัณฑ์การลงทุน มีการพัฒนาและมีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ เปิดโอกาสและเชื่อมโยงการลงทุนในรูปแบบต่างๆ อาทิ DRx ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์ในตลาดต่างประเทศ ขยายโอกาสการลงทุน พัฒนาศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDX) เป็นแพลตฟอร์มการระดมทุนและซื้อขายโทเคนดิจิทัล
ด้านการระดมทุน ตลาดทุนเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของภาคธุรกิจโดยเฉพาะช่วงวิกฤติ และเป็นกลไกในการยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย โดยมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีมูลค่าการระดมทุนทั้งในตลาดแรกและตลาดรองปรับตัวสูงขึ้นมาก เสริมสร้างความหลากหลายให้กับตลาดทุน
ด้านความยั่งยืน บจ.ไทยได้รับการยอมรับและเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล โดยมีจำนวนบริษัทไทยที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปในดัชนีด้านความยั่งยืนระดับสากลเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดตัวบริการ ESG Data Platform ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศการลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนและ ESG
ด้านโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน รองรับการขยายตัวของธุรกรรมในตลาดทุนที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลตลอดกระบวนการ มีมาตรฐานเพื่อให้การเชื่อมต่อสะดวกและง่ายมากขึ้น เป็นระบบแบบเปิดที่เชื่อมโยงกัน และลดการลงทุนซ้ำซ้อนของอุตสาหกรรม เช่น ระบบการชำระเงิน (FinNet) การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายกองทุนรวม (FundConnext) ระบบการพิสูจน์ยืนยันตัวตน (NDID Proxy) เป็นต้น
“การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้แพงเกินตัว แต่สิ่งที่ต้องการคือ การทำให้ระบบนิเวศเติบโตได้มากยิ่งขึ้น เปรียบได้กับการแบ่งพิซซ่าขนาด 8 นิ้ว ให้เท่ากัน โดยหากเราพยายามทำให้ใหญ่ขึ้นเป็น 12 นิ้ว โดยแบ่งให้เท่ากันแต่ขนาดกว้างและยาวขึ้น นี่คือโจทย์ที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล้าลงทุน”
พร้อมปรับตัวอยู่เสมอ
ยกระดับกำกับ-เพิ่มคุณภาพ บจ.
อีกหนึ่งตัวอย่างที่จะเห็นได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับตัวเพื่อให้ทันเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ บจ.ใน SET และ mai ทั้งกระบวนการ ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะ 3 ปี (2566-2568) เพื่อเพิ่มโอกาสการระดมทุน และเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ดร.ภากร ได้ยกบทเรียนครั้งสำคัญจาก 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ บจ. ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 และเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมาว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตระหนักถึงกฎเกณฑ์การทำงานทั้งของตลาดหลักทรัพย์ฯ Stakeholder รวมทั้งหน่วยงานกำกับดูแล
“ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเราตามไม่ทันในบางโจทย์ แต่จะทำอย่างไรให้ในอนาคตสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก หากถามว่าสามารถป้องกันได้ 100% ไหม คงไม่มีทางทำได้ เพราะมีกลุ่มคนที่เกิดขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะโกง แต่จะมีวิธีที่ทำให้การโกงยากขึ้น ดังนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ระบบระบบการทำงานภายในของตลาดหลักทรัพย์ฯ ”
โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มจากทำหน้าที่กำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นธรรม และโปร่งใส 3 ด้าน
- Listing and Disclosure รับบริษัทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม กำกับดูแลให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้อง เพียงพอ และทันเวลา เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลอย่างเท่าเทียมในการประกอบการตัดสินใจลงทุน รวมทั้งดำเนินการเมื่อบริษัทไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด และเพิกถอนหากมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม
- Market Surveillance ติดตามดูแลให้การซื้อขายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ป้องปรามและดำเนินการกับบริษัทสมาชิกหากพบการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม และตรวจสอบเบื้องต้นกรณีที่อาจมีการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ก่อนส่งเรื่องให้สำนักงาน ก.ล.ต.พิจารณาดำเนินการต่อไป
- Member Supervisor การรับสมาชิก (โบรกเกอร์) ที่มีฐานะมั่นคงและมีความพร้อมในการประกอบธุรกิจ และตรวจสอบให้สมาชิกปฏิบัติตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงดำเนินการเพิกถอนสมาชิกที่ขาดคุณสมบัติ
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับตัวอยู่เสมอ เช่น พัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น มีการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการติดตามการซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้จับสัญญาณการซื้อขายได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น”
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างหารือร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (สมาคม บล.) เพื่อร่วมจัดตั้ง “Securities Bureau” เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์มีข้อมูลในการตัดสินใจให้เงินกู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งจะช่วยให้โบรกเกอร์สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงของตนได้ดีขึ้น
ภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคต
ดร.ภากร ยังได้กล่าวถึงภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์หรือตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนและการพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ยึดหลักความยั่งยืน มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มทางเลือกในการระดมทุน เพิ่มความหลากหลายในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจและความผันผวนต่างๆ ในตลาดทุน ยังเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลก (Recovery & Recession) อัตราเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน (Rates) การเมืองและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) และความยั่งยืน (Sustainability)
พร้อมกันนี้ ดร.ภากร ได้ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ การทำให้เด็กรุ่นใหม่เข้ามาใช้ตลาดทุนแทนการนำเงินไปลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ หรือซื้อลอตเตอรี่ ซึ่งมองว่าแพลตฟอร์ม LiVE เป็นช่องทางที่สามารถทำให้คนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น โดยสามารถลงทุนด้วยเงินก้อนเล็กได้ และสามารถลงทุนเวลาไหนก็ได้
“ปัจจุบัน นักลงทุนไทย สามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้โดยตรงด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 80 บาท และในปี 2566 นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะออกสินค้าทางฝั่งหุ้นไทย ที่นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นไทยได้ด้วยเงินก้อนเล็กๆ”
ติดตามอ่านคอลัมน์ Exclusive Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคารฉบับเดือนตุลาคม 2566 ฉบับที่ 498 ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://moneyandbanking.co.th/2023/18250/