สิงห์ เอสเตท รุกธุรกิจใหม่ เร่งเครื่องโตก้าวกระโดด สร้างรายได้สม่ำเสมอ

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน หนึ่งในบริษัทของเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ปัจจุบันเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน
และพันธกิจการเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบโฮลดิ้งคอมพานี
มีธุรกิจที่หลากหลายและสามารถสร้างรายได้มากกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี สิงห์ เอสเตท
จึงได้ประกาศเตรียมขยายธุรกิจที่ 4 นั่นคือ
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม
เพื่อสานเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ภายใน 3 ปี และมีสินทรัพย์ 8 หมื่นล้านบาท จาก 6.5
หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน
ปี 64 สิงห์ เอสเตท
รุกธุรกิจใหม่“ต่อยอด-เสริมแกร่ง”
จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ ในฐานะแม่ทัพของสิงห์ เอสเตท กล่าวว่า ปี 2564 นี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่บริษัทกำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจ โดยจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ที่จะส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจในเครือทั้งหมด เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตลอดจนการสร้างผลตอบแทนที่ดี
"เมื่อมองไปที่เส้นทางข้างหน้า เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ในขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆในระดับโลกไปพร้อมๆ กันด้วย"
ประโยคที่จุตินันท์ กล่าวข้างต้น เป็นการตอกย้ำถึงเข็มมุ่งในพันธกิจการเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบโฮลดิ้งคอมพานี มีธุรกิจที่หลากหลายในพอร์ตการลงทุน
"ในช่วงที่ผ่าน
เราให้ความสำคัญกับการนำบริษัทเดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของครอบครัว ที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล
มาสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ
มีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค
และนับจากนี้สิงห์ เอสเตท พร้อมจะก้าวสู่การเติบโตเฟสใหม่" จุตินันท์ กล่าว
ธุรกิจที่ 4 เล็งนิคมฯ โรงไฟฟ้า วิศวกรรม
ขณะที่ ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ คนใหม่หมาดๆ ของสิงห์ เอสเตท กล่าวเสริมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในวงกว้าง
ตอกย้ำการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทในการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่
เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่งต่อไปได้
ด้วยการผนึกกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจโรงแรม
ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม
เข้ากับธุรกิจผลิตนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม
เพื่อเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท รวมถึงเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจขนาดใหญ่ที่กำลังจะมีเข้ามาอีกด้วย
การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ด้วยการเสริมธุรกิจที่ 4 ในครั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายภายในระยะเวลา 3 ปี จะเพิ่มรายได้อีก 3 เท่า หรือประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมกันนี้ตั้งเป้าหมายสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์จาก 65,000 ล้านบาทในปี 2563 สู่การเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2566 และตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย
แน่นอนว่า การขยายธุรกิจหรือการก้าวสู่สมรภูมิใหม่จะต้องมีกระสุนหรือเงินทุน ในประเด็นนี้ ฐิติมา ย้ำว่า สิงห์ เอสเตท พร้อมมาก !
โดยเธอเปิดข้อมูลว่าสิงห์ เอสเตท มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนในอัตราที่ต่ำเพียง 0.96 เท่า ประกอบกับการมีเครดิตดี ส่งผลให้บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อีก 25,000 ล้านบาท จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมเพื่อเดินหน้าธุรกิจกลุ่มธุรกิจที่ 4 ของบริษัทต่อไป
ธุรกิจใหม่เสริมแกร่งให้พอร์ต-มีรายได้สม่ำเสมอ
จากการเดินหน้า 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์
เอสเตทนั้น ฐิติมา กล่าวว่า จะส่งผลให้การทำธุรกิจของบริษัทมีความโดดเด่นที่แตกต่าง
และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้มากกว่า
รวมถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
ซึ่งเป็นผลจากการเติมเต็มซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
และการบูรณาการธุรกิจ
อีกทั้ง ยังช่วยให้ธุรกิจเกิดความมั่นคงมากขึ้น
จากการที่ธุรกิจในเครือมีวงจรทางธุรกิจที่แตกต่างกัน
รูปแบบความเสี่ยงไม่เหมือนกัน
ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอของบริษัท
“กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อจะทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก”
ขณะเดียวกัน ฐิติมา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมว่า
สิงห์ เอสเตท กำลังศึกษาแนวคิดและวิธีใหม่ๆ ระดับโลก เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของบริษัท
เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business) โดยมีเป้าหมายที่จะแสวงหาความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระดับโลก
เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญที่มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งความสามารถในการแข่งขัน และช่วยขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลการเงินของสิงห์ เอสเตท
ปี 2563 สิงห์ เอสเตท มีรายได้จาก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
พอร์ตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของสิงห์
เอสเตท
- พื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม
140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 15%
ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563
- โรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ซึ่งมีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 24%
ของรายได้ทั้งหมด
- โครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ
ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์ สันติบุรี The
ESSE และแบรนด์อื่นๆ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด