แนะแนวทางจัดแผนลงทุน ไตรมาส 1 ปี 2564

ขอต้อนรับปีใหม่
2564 ด้วยการพาท่านผู้อ่านย้อนดูภาวะลงทุนปี 2563 ในภาพรวม
สินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนดี กลุ่มประเทศไหนผลงานเด่น
พร้อมทั้งชี้ปัจจัยเด่นที่น่าจะมีผลต่อการลงทุนในไตรมาส 1 ปีนี้ และจบด้วยท่ามาตรฐาน
คือคำแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมแบบเต็มแผน
สรุปภาวะลงทุนปี 2563 (ข้อมูล ณ 24 ธันวาคม 2563)
1. ดัชนีหุ้นสำคัญทั่วโลก ดัชนีหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน บางแห่ง และดัชนีหุ้นไทย
ด้านสหรัฐอเมริกา หุ้นเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนโดดเด่นอย่างไม่ใยดีภาวะโควิด-19 ดัชนี NASDAQ 100 บวกขึ้นมา 43% และหุ้นรายตัวที่หลายคนพูดถึงในปีนี้ก็คือ Tesla, Inc. ก็ให้ผลตอบแทนถึง 690% หรือเกือบ 7 เท่าตัว ส่วนดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 14% เมื่อมองลงมาทางอเมริกาใต้ ดัชนี Merval ของอาร์เจนตินา บวกขึ้นมา 26% ขณะที่ดัชนี iBovespa ของบราซิล ลบเล็กน้อย 0.7%
ด้านยุโรป ดัชนี OMX Copenhagen ของเดนมาร์กให้ผลตอบแทน 27% ตามมาด้วยดัชนี BIST
100 ของตุรกี ให้ผลตอบแทน 23% อย่างไรก็ดี
ยุโรปในภาพรวมยังซบเซาโดยดัชนี S&P Europe 500 ติดลบ 7%
ข้ามมาฝั่งเอเชีย
ตลาดหุ้นเวียดนามเติบโตโดดเด่น ดัชนี HNX บวกถึง 85% ตามมาด้วยดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้ บวก 29% โดยที่ KOSPI สามารถแตะระดับสูงสุดใหม่ตลอดกาล (all-time
new high) ได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมา
นอกจากนั้น ตลาดหุ้นจีนและไต้หวันก็ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ
ดัชนี CSI
300 ของจีน บวก 21% และดัชนี TAIEX ของไต้หวัน บวก 18% รวมถึงดัชนี NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น บวก 15%
กลุ่มท้ายตารางในแถบเอเชีย
นำมาด้วยเลบานอน ดัชนี Blom
ติดลบ 21% ตามมาด้วยลาว ดัชนี LSX
Composite ติดลบ 16% ส่วน SET50 Index ของไทยเรา ยังติดลบ 15%
(ที่มา : trading economics.com)
ด้านผลตอบแทนรวม (Total Return) ซึ่งรวมเงินปันผลและสิทธิต่างๆ ไว้แล้ว ดัชนี NASDAQ Composite
Total Return ของสหรัฐอเมริกา ให้ผลตอบแทน 44% ดัชนี S&P 500 Total Return ให้ผลตอบแทน 16%
ส่วนของไทยเรา
หุ้นเล็กให้ผลตอบแทนโดดเด่นในปี 2563 โดยดัชนี mai Total Return บวก
12% ขณะที่หุ้นใหญ่ในดัชนี SET 50 Total Return ยังติดลบ 12% และหุ้นโดยรวมในดัชนี SET Total
Return ติดลบ 5% ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นไทยในปี
2563 หุ้นโดยรวมให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นใหญ่ใน SET 50 Index
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลของการปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาหุ้น DELTA ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 10 เท่าตัวในเวลาไม่ถึง 1 ปี จากมูลค่าตลาด 6.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 เพิ่มมาเป็น 6.7 แสนล้านบาท ณ 24 ธันวาคม 2563
ราคาทองคำในตลาดโลก ปรับเพิ่มขึ้น 24% โดยในช่วงเดือนสิงหาคม
2563 ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ยังมีความไม่ชัดเจน ราคาทองคำสามารถทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ระดับ
2,075 USD/Oz สร้างความคึกคักให้วงการทองคำเพื่อการลงทุนในประเทศไทย
ในทางกลับกัน ราคาน้ำมันดิบ West Texas ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของพลังงานที่ลดลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงทั่วโลก ผลตอบแทนจึงยังติดลบอยู่ 21% แต่ก็เป็นการฟื้นตัวจากราคาในตลาดล่วงหน้าที่ถึงกับติดลบในช่วงเดือนเมษายน 2563 จากความกังวลกรณีพื้นที่คลังน้ำมันเกิดขาดแคลนจากปริมาณน้ำมันดิบที่ล้นตลาด โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
3. ตราสารหนี้ไทย
ปี 2563
เป็นปีที่ตลาดตราสารหนี้ไทยเผชิญภาวะความผันผวนอย่างหนัก ตามภาวะตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส
1 ของปี เป็นผลให้กองทุนรวมตราสารหนี้ขนาดใหญ่หลายกองต้องปิดตัวลงแล้วทยอยคืนเงิน
เพื่อป้องกันความเสียหายจากการเร่งขายคืนหน่วยลงทุนของนักลงทุน
รวมถึงไปกรณีหุ้นกู้ของผู้ประกอบธุรกิจขนส่งทางอากาศบางรายที่เข้าสู่กระบวนฟื้นฟูกิจการ
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้ว
ตราสารหนี้ภาครัฐของไทย ประเภทอายุไม่เกิน 10 ปี ยังให้ผลตอบแทนรวม 3.4% ขณะที่ตราสารหนี้เอกชนไทยประเภทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่
BBB+ ขึ้นไป ก็ให้ผลตอบแทน 2.9%
(ที่มา : ThaiBMA.or.th)
โดยสรุปแล้ว ภาวะลงทุนในปี 2563
เต็มไปด้วยความผันผวนระดับสูง จนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลายกรณีติดๆ
กัน ทั้งราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเกิดติดลบ และการปิดตัวของกองทุนตราสารหนี้
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นหลายแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 เป็นต้นมา
จนให้ผลตอบแทนตลอดทั้งปี 2563 เป็นบวกในระดับ double-digit
1. นโยบายประธานาธิบดีใหม่สหรัฐอเมริกา
ด้านองค์ประกอบของรัฐมนตรี และผู้นำหน่วยงานที่สำคัญระดับเทียบเท่ากระทรวง
พบว่า มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในเชิงเพศและกลุ่มชาติพันธุ์ โดยในรัฐบาลทรัมป์
จากทั้งหมด 24 ตำแหน่ง เป็นสตรี 4 ราย ผิวสี 1 ราย เชื้อสายเอเชีย 1 ราย
ขณะที่รัฐบาลไบเด็น (เท่าที่ประกาศแล้ว 20 จาก 24 ราย) มีสตรี 9 ราย ผิวสี 5 ราย
เชื้อสายเอเชีย 1 ราย และโดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ เช่น รองประธานาธิบดี
ก็เป็นที่ทราบกันแล้วว่าเป็นสตรีเชื้อสายอินเดีย รวมถึงมีการวางตัว เจเน็ต เยลเลน
อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐอเมริการายแรกที่เป็นสตรี
ให้มาเป็นรัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกา รายแรกที่เป็นสตรี
(ที่มา: axios.com)
ดังนั้น จึงมีความหวังได้ว่า
นโยบายภาครัฐของสหรัฐอเมริกา จะคำนึงถึงความมีส่วนร่วมและความหลากหลายทางสังคมมากขึ้น
ซึ่งน่าจะช่วยให้มิติเชิงสังคมและเศรษฐกิจมีเสถียรภาพและมีความยั่งยืน (Sustainability)
มากขึ้น
ด้านนโยบายเร่งด่วน 100
วันแรกของการดำรงตำแหน่ง โจ ไบเด็น ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว
ว่าจะขอให้ประชาชนสหรัฐอเมริกาทุกคนสวมหน้ากากอนามัย
รวมถึงจัดให้มีการฉีดวัคซีนต้านทานโรคโควิด-19 100 ล้านเข็ม
และจะให้โรงเรียนเกือบทั้งหมดสามารถกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อม
โจ ไบเด็นประกาศนโยบายอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่ไร้มลพิษคาร์บอนอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2035
และจะกลับเข้าร่วมในองค์กรนานาชาติด้านสิ่งแวดล้อม
(ที่มา :
twitter.com/JoeBiden)
โดยมีความหวังได้ว่า
สถานการณ์โรคโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาจะบรรเทาลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งจะเป็นแนวทางดำเนินการให้กับประเทศสำคัญอื่นๆ ในโลกด้วย รวมถึงสภาวะแวดล้อมโลกก็มีแนวโน้มที่ได้รับการดูแลมากขึ้น
โดยเฉพาะจากความร่วมมือของประเทศสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะคาดการณ์ต่อไปได้ว่า
ธุรกิจที่ตอบโจทย์การรักษาสภาพแวดล้อมโลก น่าจะได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐของสหรัฐอเมริกา
2. ความคืบหน้าวัคซีนต้านทานโรคโควิด-19
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ณ 22
ธันวาคม 2563 ปัจจุบันมีงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนทั้งหมด 233 รายการ อยู่ในขั้น Pre-clinical 172 รายการ และอยู่ในขั้น Clinical แล้ว 61 รายการ
โดยเฉพาะในเฟส 3 ของขั้น Clinical มีถึง 11 รายการ
และหลายประเทศทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง เอเซีย อเมริกา (เหนือและใต้)
ได้เริ่มให้วัคซีนแก่ประชาชนแล้วในปี 2563
นอกจากนั้น
ผู้ผลิตวัคซีนรายสำคัญอย่างน้อย 9 ราย ซึ่งรายที่ชื่อคุ้นหูชาวไทย เช่น Pfizer/BioNTech
Moderna AstraZeneca/Oxford Novavax ได้รับคำสั่งซื้อวัคซีนรวมกันมากกว่า
6.8 พันล้านโดส ซึ่งจะทยอยนำส่งตลอดปี 2564
และในภาพรวม Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft และผู้ร่วมก่อตั้ง Bill
& Melinda Gates Foundation ซึ่งสนับสนุนเงินทุนจำนวนมากในการรับมือโรคโควิด-19
ได้คาดการณ์ว่า ในฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณปลายเดือนมีนาคม) ของปี 2564 เป็นต้นไป
วัคซีนจะเข้าถึงประชากรโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งจะนำมาโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีกำลังซื้อและได้จองวัคซีนไว้ล่วงหน้า
(ที่มา : who.int,
aljazeera.com, bloomberg.com, nytimes.com, gatesnotes.com)
จากสองประเด็นดังกล่าว
จึงคาดหวังได้ว่า ปี 2564 นี้ สถานการณ์โรคโควิด-19 จะทยอยบรรเทาลง โลกจะค่อยๆ
กลับสู่ภาวะปกติ
และนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาจะสร้างเสถียรภาพให้โลกมากขึ้น
ทั้งในเชิงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
แนวทางจัดแผนลงทุน
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้จำกัด
แนะนำแผนลงทุนความเสี่ยงระดับกลาง ซึ่งประกอบด้วยกองทุนตราสารหนี้
(ทั่วไปและตลาดเงิน) 40%
กองทุนหุ้น 30% กองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ 25%
และกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ 5% โดยสามารถคาดหวังผลตอบแทน
ซึ่งคำนวณจากผลงานจริงในอดีต ได้ในระดับ 5.5-6.0%
และผู้ที่รับความเสี่ยงได้มาก
แนะนำแผนลงทุนความเสี่ยงระดับสูง เพื่อเปิดโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น โดยประกอบด้วยกองทุนหุ้น
65%
กองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ 20% กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์
10% และกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป 5% โดยสามารถคาดหวังผลตอบแทน
ซึ่งคำนวณจากผลงานจริงในอดีต ได้ในระดับ 9.5-10.5%
รวบรวมข้อมูลโดย รวีโรจน์ เจียมศิริกาญจน์ และนิติกร สุทธิมูล ผู้แนะนำการลงทุนรับอนุญาต
บลป.เทรเชอริสต์