ทิสโก้เวลธ์เปิดทริกเลือกประกันมะเร็ง รับมือความเสี่ยงค่ารักษาพุ่งตามนวัตกรรมทางการแพทย์

ทิสโก้เวลธ์ชี้ ‘นวัตกรรมการแพทย์’ ของโลกก้าวไกล
ช่วยรักษามะเร็งร้ายได้ผลดีขึ้น แต่ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายในการรักษาที่พุ่งสูงถึง
15 ล้านบาท แนะทำประกันมะเร็งรับมือความเสี่ยง พร้อมเปิด 5
วิธีคัดสรรกรมธรรม์ให้คุ้มค่า ผู้หญิงควรซื้อก่อนอายุ 30 ปี ด้านผู้ชายซื้อก่อนอายุ
40 ปี
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์
หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2542
และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2562
พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง วันละ 221 คน หรือ 80,665 คนต่อปี
คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 9 คน และยังพบผู้ป่วยรายใหม่ถึงวันละ 336
คน หรือ 122,757 คนต่อปี ขณะที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ในปี 2573
ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงถึง 13 ล้านคน จากปี 2562
ที่มีการเสียชีวิตอยู่ที่ 9.6 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่าในอดีต ยกตัวอย่าง การรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดแบบเซลล์บำบัด Chimeric Antigen Receptor T cell (CAR T cell) ซึ่งเป็นการนำเอาเม็ดเลือดขาวออกมาเลี้ยงและดัดแปลงยีนส์ ก่อนฉีดกลับเข้าไปในคนไข้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ที่มีการแสดงออกของ CD19 แต่ก็นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมาก
โดยข้อมูลจากบริษัทเวชภัณฑ์ยาอย่าง Novartis ตั้งสนนราคาขายยา
Kymriah อยู่ที่
475,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 15 ล้านบาท (ราคาแปรผันตามอัตราแลกเปลี่ยน)
นับเป็นเทคนิคการรักษาที่มีราคาแพงที่สุดวิธีหนึ่งของโลก
หรือแม้แต่การรักษาด้วยวิธีปัจจุบันอย่างการผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด
และการฉายรังสี จากประมาณการค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์โดย Roche เมื่อปี
2556 พบว่า การรักษาโรคมะเร็งระยะเริ่มต้นมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 2,897,000 บาท
และระยะแพร่กระจายหรือระยะลุกลาม มีค่าใช้จ่ายรวมสูงถึง 4,172,000 บาท
จากค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งที่สูงมากดังกล่าว
อาจต้องแลกมาด้วยค่ารักษาที่ต้องใช้เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตและบางรายเงินที่เก็บมาอาจจะไม่เพียงพอ
จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วยในการรับมือกับโรคร้ายอย่าง “ประกันมะเร็ง” มาช่วยรับความเสี่ยงแทน
โดยหากพิจารณาให้ดีจะสามารถเลือกประกันในค่าเบี้ยเพียงหลักพันบาทแต่ให้ความคุ้มครองสูงถึงหลักล้านบาทได้
อีกทั้ง ค่าเบี้ยประกันมะเร็งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท
เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. -
31 ธ.ค. 2563) ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก
ซึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจทำประกันมะเร็ง ประกอบด้วย
1. ความคุ้มครอง แบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือ
1) ความคุ้มครองที่เป็นเงินก้อนที่จะได้รับเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง และ
2)
ความคุ้มครองที่เป็นวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากโรคมะเร็ง
ปกติจะคุ้มครองตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนด
ซึ่งหากกรมธรรม์ประกันมะเร็งที่เลือกนั้น
มีทั้งความคุ้มครองที่เป็นเงินก้อนและวงเงินค่ารักษาพยาบาล จะยิ่งทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
2. ช่วงอายุการรับประกันและการต่ออายุการรับประกัน
ควรพิจารณาเลือกกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาความคุ้มครองที่ยาวนาน
จะได้ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงไว้เอง เช่น สมัครได้ตั้งแต่อายุ 1-60 ปี
และสามารถต่ออายุความคุ้มครองได้ถึง 70 ปี
3. ลักษณะการคิดค่าเบี้ยประกันรายปี มี 2 รูปแบบ
คือ ค่าเบี้ยประกันแบบคงที่และแบบปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ
ถ้าเป็นค่าเบี้ยประกันแบบคงที่หากทำในตอนที่อายุยังน้อย ก็จะยิ่งคุ้มค่า
เพราะค่าเบี้ยประกันก็จะยิ่งถูก
4. ข้อยกเว้นความคุ้มครอง เช่น
กรมธรรม์จะไม่คุ้มครองหากเป็นมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
ซึ่งจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนกับความเสี่ยงของตัวเอง
และควรพิจารณาระยะเวลารอคอยหรือระยะเวลาที่กรมธรรม์จะไม่คุ้มครองด้วย
ซึ่งโดยปกติแล้วระยะเวลารอคอยของประกันมะเร็งจะอยู่ที่ 90 วัน
5. ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม เช่น
ค่าตรวจวินิจฉัยซ้ำโรคมะเร็ง ค่าเดินทางไปรักษาตัวสำหรับโรคมะเร็ง ค่าชดเชยรายได้
เป็นต้น หากกรมธรรม์ที่กำลังพิจาณามีความคุ้มครองเหล่านี้เพิ่มเติม
ก็จะยิ่งมีความคุ้มค่ามากขึ้น