ITC ครึ่งปีแรกกำไร 870 ล้านบาท ปันผล 0.25 บาท รับเงิน 25 ส.ค.นี้

297

บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น หรือ ITC ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ด้วยยอดขายรวม 3,243 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 10 % และกำไรสุทธิจำนวน 445 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 4 % ในขณะที่ยอดขายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 6,830 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 870 ล้านบาท จ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท ต่อหุ้น

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าธุรกิจท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในช่วงที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ จะเห็นได้ว่าผลงานในไตรมาส 2 นี้ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะผลกำไร บริษัทจึงได้ประกาศปันผลระหว่างกาลจากผลกำไรในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0.25 บาทต่อหุ้นรวม 750 ล้านบาท คิดเป็น 86 % ของกำไรสุทธิของครึ่งปีแรก กำหนดจ่ายในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 11 สิงหาคม 2566 และขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566

สำหรับครึ่งปีหลัง ITC มีแผนที่จะเดินสายพบนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยอย่างต่อเนื่อง และร่วมในงานจัดแสดงสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป รวมถึงงาน SuperZoo ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อพบปะลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายภายในงาน นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพบลูกค้าและนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นและยุโรปในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เพื่อขยายธุรกิจและฐานลูกค้ารวมถึงนักลงทุนสู่กลุ่มใหม่ๆ อีกด้วย

ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก ยอดขายของไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ 51 % ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 38 % และยุโรปอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนของยอดขายแบ่งตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 68 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 17 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่น ๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์

“เรายังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกเรามีผลิตภัณฑ์ที่รองรับความต้องการของลูกค้ามากถึง 3,740 รายการ ซึ่งในครึ่งปีหลังเราจะเดินหน้าต่อเนื่องในการนำเสนอสินค้านวัตกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียมทั้งในรูปแบบของมูส ปาเต และเครื่องดื่ม ส่งไปยังลูกค้ากลุ่มซุปเปอร์มาร์เก็ตและแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงในปัจจุบัน” นายพิชิตชัย กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนวัตกรรมแล้ว ITC ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของกลุ่มไทยยูเนี่ยนที่ได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® ตั้งเป้าหมายถึงปี 2573 ครอบคลุมการดูแลทั้งมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไอ-เทลในฐานะบริษัทในเครือ จึงมีการสรรหาแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบ และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้เริ่มใช้หลักการ Employer Pays Principles หรือนายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรับสมัครแรงงานซึ่งรวมถึงแรงงานต่างชาติ

สำหรับในมิติของการดูแลสิ่งแวดล้อมนั้น โรงงานของไอ-เทลถึง 2 โรงในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดสงขลา เป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยน นำร่องในด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ และใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง

ปัจจุบันโรงงานของไอ-เทลเดินหน้าพัฒนาระบบภายในโรงงานเพื่อลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ ลดของเสียฝังกลบเป็นศูนย์ และลดการสูญเสียอาหารเป็นศูนย์ และมีการดูแลในเรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจก อาทิ การติดตั้งหลังคาโซลาเซลล์ และการใช้ระบบออโตเมชั่น นอกจากความยั่งยืนแล้วยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตอีกด้วย

“ผมมั่นใจว่าการก้าวสู่กลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ในครั้งนี้ของไทยยูเนี่ยนและไอ-เทล จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างยั่งยืน แข็งแกร่งและโดดเด่นในเวทีโลก” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย