จัดพอร์ตเติบโตไปกับ ‘หุ้นเทคโนโลยีจีน’ เมื่อฟ้าเปิด

            ปี 2564 เป็นปีที่มรสุมกระหน่ำใส่บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนหนักมาก นักลงทุนเผชิญกับผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ลดลง แม้นักวิเคราะห์ต่างพูดในเสียงเดียวกันว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้นก็ตาม แต่สำหรับนักลงทุนย่อมมีความหวาดหวั่นกับผลขาดทุนและคาดเดาไม่ออกว่าจะมีโอกาสฟื้นกลับมาได้เมื่อไหร่ ควรจัดการพอร์ตอย่างไรดี

            นับตั้งแต่เกิดกระแสข่าวร้อนช็อคโลก ที่รัฐบาลจีนเดินหน้าเข้าตรวจสอบบิ๊กเทคชื่อดัง นำโดย Alibaba Tencent Meituan และ Didi รวมไปถึงบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ จำนวนมาก ด้วยประเด็นผูกขาดตลาด สร้างความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ และมีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ส่งผลให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนปรับลดลงราว 20-30% ในช่วง 7 – 8 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (กลุ่ม A-Share และ B-Share) หรือจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง (กลุ่ม H-Share) และตลาดหุ้นสหรัฐฯ (กลุ่ม US-ADR) ก็ตาม

            ระหว่างทางยังมีมรสุมในและนอกประเทศพัดเข้ามาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าควบคุมธุรกิจติวเตอร์ออนไลน์ (Tech Education) บางบริษัทที่อยู่ในเครือของบิ๊กเทค ไปจนถึงประเด็นพิพาทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จากฝั่งมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ  ประธานาธิบดี Joe Biden  ที่ยังเดินเกมสกัดกั้นจีน ไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ว่าที่มหาอำนาจทางเทคโนโลยี  ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นเทคโนโลยีจีน ไม่สามารถฟื้นตัวได้เท่าที่ควรจนถึงวันนี้

            ภาพความชัดเจนเริ่มปรากฎขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อกำกับดูแลธุรกิจเทคโนโลยีมา 2 ฉบับ เกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security Law) และกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Protection Law : PIPL) เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายนและพฤศจิกายนในปีนี้  ซึ่งมีจุดมุ่งหมายลดทอนอำนาจการผูกขาดของเหล่าบิ๊กเทค  เปิดโอกาสให้บริษัทขนาดเล็กและสตาร์ตอัปสามารถเติบโต สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และคุ้มครองข้อมูลผู้ใช้งาน เพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมในระยะยาว

            การออกกฎระเบียบใหม่ๆ ของรัฐบาลจีน เริ่มเห็นความชัดเจนในภาคธุรกิจเร่งปรับแผนให้สอดรับกับกฎหมายที่ออกมา เพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไปอย่างมีทิศทางกว่าช่วงครึ่งปีแรก

มองไปข้างหน้า การกลับมาของหุ้นเทคโนโลยี

            โดยธรรมชาติของธุรกิจเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและรวดเร็วอยู่แล้ว ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือด และแนวโน้มธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่อยู่กับโลกไประยะยาว 10-20 ปีข้างหน้า

            เพราะฉะนั้น เส้นทางในระยะต่อไป การกลับมาเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีจีน และจะไปต่อได้ดีเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับโมเดลธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้บริโภคใช้ในชีวิตประจำวัน หากวางเกมการแข่งขันได้ดี สามารถตอบโจทย์ความต้องการของการยกระดับคุณภาพบริการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ก็จะได้เปรียบในเดินหน้าธุรกิจต่อไป

             ดังเช่น 2 บิ๊กเทคของจีนที่ปรับตัวครั้งใหญ่ก่อนใคร ระหว่าง Alibaba กับ Tencent ด้วยการเปิดเชื่อมการใช้งานในแอปชำระเงินระหว่าง Alipay กับ WeChat  ได้ หลังจากที่ต่างฝ่ายปิดกั้นกันมาก่อนหน้านี้ และยังนำมาสู่การต่อยอดเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจร่วมกันด้วย

            ส่องตลาดผู้ใช้บริการในจีน ที่มีความใหญ่ทั้งขนาดของพื้นที่และจำนวนประชากรที่มากถึง 1,400 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 13% ของประชากรทั้งโลก ทำให้ช่องว่างตลาดในประเทศยังขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการ Economy of Scale ที่ทำให้ต้นทุนถูกลง ประกอบกับกำลังซื้อของชาวจีนที่เริ่มมีรายได้ดีขึ้น และมีความต้องการยกระดับคุณภาพชีวิต ทำให้เทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของชาวจีนอย่างมาก เรียกได้ว่า เป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มหาศาล

            ทั้งนี้ รัฐบาลจีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 14 (ปี 2564 -2568) ที่เน้นยุทธศาสตร์วงจรคู่ (Dual Circulation) คือผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจต่างประเทศที่มาจากภาคส่งออกที่เป็นเสาหลัก  ซึ่งเป็นการปรับเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีดุลยภาพ ภายใต้เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีละ 5% และทำให้ประชาชนหลุดพ้นความยากจน

            ขณะเดียวกันปีที่แล้ว รัฐบาลจีนยังมีพิมพ์เขียวการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ เป็นแผนยุทธศาสตร์สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อไปสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมโลกภายใน 15 ปี  เศรษฐกิจจีนจึงยังอยู่ในช่วงวัฏจักรการเติบโต และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในทุกๆ ด้านให้มีศักยภาพทัดเทียมประเทศพัฒนาแล้ว

            ในช่วงที่เกิดวิกฤต Covid-19 เศรษฐกิจจีนยังสามารถขยายตัวได้ 2.3% ในปี 2563 ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูง 101.59 ล้านล้านหยวน  และปี 2564 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโต 8.1% ภายใต้การแพร่ระบาด Covid-19 กลายพันธุ์รอบใหม่ ส่วนเศรษฐกิจโลกคาดว่า จะเติบโต 6%ในปีนี้ หลังจากปีที่แล้ว ติดลบ 3.2%

            การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน ถือเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ปัจจุบันรัฐบาลจีนกำลังสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง เพื่อต่อยอดไปสู่เป้าหมายระดับโลก ถือเป็นผลดีต่อประเทศและอนาคตของบริษัทเทคโนโลยีจีน หากบริษัทใดสามารถปรับตัวได้เร็ว โมเดลธุรกิจมีศักยภาพในการแข่งขัน  บริษัทนั้นย่อมมีเส้นทางเติบโตได้อีกมากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ หากผลดำเนินงานของบริษัทเติบโต ย่อมส่งผลต่อราคาหุ้นตามมา

            นี่คือสัญญาณการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน ผ่านปัจจัยพื้นฐานทั้งเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจ ที่ยังมีอนาคตยาวไกล

ฟ้าหลังฝน จัดพอร์ตลงทุนหุ้นเทคจีนรับอนาคตไกล

            มีคำถามว่า ถึงเวลาลงทุนหรือยัง เพราะภาพรวมราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนอยู่ในภาวะอึมครึมมายาวหลายเดือน และยังทรงตัวอยู่ระดับต่ำ ผมเชื่อว่า วันนี้ สัญญาณขาลงของหุ้นเทคโนโลยีจีนเริ่มมีกรอบจำกัดแล้ว ถือว่าฟ้าเปิดสำหรับคนที่ลงทุนอยู่และคนที่อยากเข้ามาลงทุน เพราะส่วนใหญ่เห็นภาพว่า จีนกำลังย่างเข้าสู่ตำแหน่งมหาอำนาจโลกในเร็ววันแน่นอน ยิ่งเห็นประเด็นขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ยิ่งทำให้สหรัฐฯ มีความหวาดหวั่นเช่นกัน

            หากดูข้อมูลปี 2563 มูลค่า GDP จีนอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หายใจรดต้นคอสหรัฐฯ ที่ GDP มีมูลค่า 20.93 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตสูง ยิ่งมีโอกาสที่จะแซงหน้าในอนาคตอันใกล้นี้

            ด้านตลาดหุ้นจีนมีมาร์เก็ตแคป 12.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมาร์เก็ตแคป 40.74 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นจีนถึง 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือใหญ่กว่า 2 เท่า นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนยังมีขนาดเล็กกว่ามูลค่า GDP ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่า GDP ถึง 2 เท่า สะท้อนว่าโอกาสการเติบโตของตลาดหุ้นจีนยังไปได้อีกไกล

            ควรจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรดี ความจริงผมได้แนะนำลูกค้ามาตลอดในช่วงที่หุ้นเทคโนโลยีจีนปรับตัวลงแรง ถือเป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาลดลง ดูจากตัวอย่าง Invesco China Technology ETF (CQQQ) ที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนมากกว่า 100 บริษัท และอ้างอิงผลตอบแทนดัชนี FTSE China Incl 25% Technology Capped Index พบว่า ณ วันที่ 6 กันยายน ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ติดลบ 11.168% ลดลงจากช่วง 6 เดือนย้อนหลังที่ติดลบ 20.84% ถือว่า เริ่มเห็นสัญญาณที่ราคากำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น

            แต่ถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี เป็นบวก 2.85% ส่วนผลตอบแทนรวมย้อนหลัง 3 ปี และ 3 ปี ยังเป็นบวก 54.31% และ 87.43% ตามลำดับ ซึ่ง CQQQ เป็น Passive Fund ที่ตอบโจทย์ลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

            การจัดพอร์ตลงทุนรับหุ้นเทคโนโลยีจีนหลังจากนี้  ถือเป็นอีกโอกาสคว้าผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนผ่าน CQQQ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีกระจายลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีนชั้นนำ เช่น บริษัท Tencent บริษัท Sunny Opitcal Technology บริษัท Meituam บริษัท Baidu บริษัท Bilibili บริษัท Kingdee International Software Group บริษัท GDS Holdings และบริษัท LONGi Green Energy Technology นับเป็นการกระจายการลงทุนที่สร้างโอกาสการเติบโตจากหลายๆบริษัท รวมทั้งมีการปรับพอร์ตหุ้นที่ลงทุนด้วย

            อย่างไรก็ตาม หลักการจัดพอร์ตลงทุนที่ดี ควรมีการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) มีการกระจายความเสี่ยง (Diversification) อย่างเหมาะสม ลดความผันผวนของผลตอบแทนในพอร์ต ด้วยการลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลาย หากเวลาที่สินทรัพย์ใดอยู่ในทิศทางขาลง แต่ในพอร์ตยังมีสินทรัพย์ตัวอื่นที่ยังดีอยู่ช่วยพยุงผลตอบแทนของพอร์ตได้ เรียกว่า เป็นการสร้างสมดุลในพอร์ตลงทุน

            Jitta Wealth มีคำแนะนำการกระจายลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) โดยสามารถดูค่า Correlation (สหสัมพันธ์) เปรียบเทียบกันได้ หาก ETF ที่สนใจมีค่า Correlation ต่างกันมาก ก็เหมาะสมที่จะนำมาจัดพอร์ตลงทุน เนื่องจากราคา ETF มีความสัมพันธ์กันไม่มาก หากราคา ETF กองใดกองหนึ่งลดลง ราคา ETF อีกกองอาจจะไม่ลดลงตามก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกจัดพอร์ตลงทุนได้ง่ายขึ้น

            ผมอยากฝากทิ้งท้ายว่า หลักการลงทุนที่ดี คุณควรศึกษาสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนให้รอบด้าน มองผลตอบแทนระยะยาว ลงทุนหรือเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ และกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม รวมทั้งคุณเองควรรู้จักความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพราะทุกจังหวะการลงทุน มักเกิดเหตุไม่คาดฝันที่กระทบกับสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนได้ตลอดเวลา แต่ถ้าคุณเข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น คุณจะรับมือกับความผันผวนในพอร์ตลงทุนได้

และในวันที่คุณได้กำไร…คุณก็จะมีความสุขยิ้มได้เช่นกัน